ข้อสอบใบขับขี่ วิธีสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ยังไงให้ผ่านฉลุย! 2561-2563 ก่อนที่เราจะได้ทำข้อสอบภาคทฤษฎีทำใบขับขี่ และทดสอบขับรถจริงๆนั้น เราจะต้องผ่านการอบรมหลายด่านมากมาย เริ่มจากฟังคำบรรยาย ดูคลิปวิดีโอสั้นๆ รวมถึงการทดสอบร่างกายเบื้องต้น เช่น การทดสอบสายตา และการตอบสนองของเท้า เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบจริง พอเมื่อถึงวันนั้นเราจะได้ไม่ตื่นเต้น และเพื่อความสบายใจหลังจากที่ได้อ่านข้อสอบใบขับขี่ 2562 กันแล้ว วันนี้ Frank.co.th จะมาเก็งแนวข้อสอบใบขับขี่ 2563 แบบเน้นๆ ตรงประเด็นกันด้วย โจทย์ไหนออกมาก ออกเยอะ พร้อมนำมาเเชร์ให้ทุกคนครับ รับรองว่าครั้งนี้คะแนนมาชัวร์ !!
ตัวอย่างแนวข้อสอบใบขับขี่ มีอะไรบ้าง ?
1. สัญลักษณ์ป้ายจราจรและเครื่องหมายที่สำคัญ
– ป้ายจราจรบังคับ
ป้ายห้ามเข้า หมายความว่า ห้ามขับรถทุกชนิดเข้าไปในเขตที่ติดตั้งป้าย จะมีลักษณะเป็นป้ายวงกลมสีแดง มีเส้นทึบสีขาวหนึ่งเส้นขวางเป็นแนวนอน
ป้ายห้ามเลี้ยวขวา หมายถึง ห้ามเลี้ยวขวา ครับ จะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามในเขตทางที่ติดตั้งป้ายไว้
ป้ายห้ามหยุดรถ สัญลักษณ์นี้คือ ห้ามมิให้หยุดรถหรือจอดรถทุกชนิด ตรงแนวนั้นเป็นอันขาด จะใกล้เคียงกันกับป้ายห้ามจอดรถ แต่ต่างกันว่าป้ายนี้จะไม่สามารถหยุดรถกับจอดรถได้เลย ถึงแม้แค่ชั่วคราว
ป้ายห้ามแซง เครื่องหมายนี้คือ ห้ามขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย หากฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับ
ป้ายห้ามกลับรถทางขวา หากสังเกตเห็นป้ายนี้หมายถึง ห้ามกลับรถไปทางขวา ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย
ป้ายห้ามรถบรรทุกผ่าน สัญลักษณ์นี้ก็คือ ห้ามรถบรรทุกผ่านในเขตติดตั้งป้าย เด็ดขาด!
ป้ายห้ามใช้เสียง หมายถึง ห้ามใช้เสียงสัญญาณ หรือทำให้เกิดเสียงที่ก่อการรบกวนไม่ว่าจะด้วยประการใดๆ ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย
– ป้ายจราจรเตือน
ป้ายทางโค้งซ้าย ควรระวังทางข้างหน้ามีโค้งไปทางซ้าย ให้ขับรถช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง
ป้ายทางคดเคี้ยวเริ่มขวา หมายความว่า ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มจากทางขวา ให้ขับรถช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความระมัดระวัง
ป้ายทางโทแยกทางเอกทางซ้าย บอกให้เตรียมตัว ทางข้างหน้ามีทางโทแยกไปทางซ้าย ควรขับรถให้ช้าลง เเละเพิ่มความระมัดระวัง
ป้ายทางเเคบลงทั้งสองด้าน จะเตือนให้ระวัง ทางข้างหน้าแคบลงกว่าทางที่กำลังผ่านทั้งสองด้าน ควรขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง
ป้ายทางข้ามรถไฟ (มีเครื่องกั้น) หมายความว่า ให้ขับรถให้ช้าลงพร้อมที่จะหยุดรถเมื่อมีเครื่องกั้นทางปิดกั้น ควรสังเกตดูทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ถ้ามีรถไฟกำลังแล่นผ่าน ควรหยุดรอให้ห่างอย่างน้อย 5 เมตร หลังจากรถไฟผ่านไปอย่างปลอดภัย จึงสามารถเคลื่อนรถต่อไปได้
ป้ายทางข้ามรถไฟ (ไม่มีเครื่องกั้น) หมายความว่า ให้ขับรถให้ช้าลงและสังเกตดูรถไฟทั้งขวาและซ้าย เพราะทางรถไฟข้างหน้าไม่มีเครื่องกั้น หากมีรถไฟกำลังผ่านให้หยุดรถห่างจากรถไฟอย่างน้อย 5 เมตร
ป้ายระวังถนนลื่น กรณีที่ผู้ขับขี่เห็นเครื่องหมายในภาพนี้ ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังการลื่นไถล อย่าใช้ห้ามล้อโดยแรง ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
– ป้ายจราจรแนะนำ
ป้ายชิดซ้าย ให้ปฏิบัติด้วยการ ให้ชิดซ้าย ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องขับรถผ่านไปทางด้านซ้ายของป้าย
ป้ายชิดซ้ายหรือชิดขวา หมายถึง ให้ขับรถชิดซ้ายหรือชิดขวา ของป้าย
ป้ายให้ตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย ให้ปฏิบัติด้วยการขับรถ ตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย ตามสัญลักษณ์ของลูกศรชี้
ป้ายขับรถไปทางซ้าย หมายความว่า ให้ขับรถไปทางด้านซ้ายได้อย่างเดียว ตามสัญลักษณ์ของลูกศรชี้
ป้ายช่องเดินรถประจำทาง หากพบป้ายนี้แสดงว่า ช่องเดินรถที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้เป็น ช่องเดินรถประจำทาง ห้ามแซงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถประจำทาง
ป้ายช่องเดินรถมวลชน สัญลักษณ์นี้คือ ช่องเดินรถที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้เป็น ช่องเดินรถมวลชน และรถมีคนนั่งไม่น้อยกว่า 3 คน จะสามารถใช้ช่องเดินรถนี้ได้
– เครื่องหมายบนพื้นทาง
เขตปลอดภัย หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าเกาะสี หมายถึง พื้นที่ในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายแสดงให้เห็นได้ชัดเจนทุกเวลา สำหรับให้คนเดินเท้าที่ข้ามทางหยุดรอ หรือให้คนที่ขึ้นหรือลงรถหยุดรอก่อนจะข้ามทางต่อไป จะมีลักษณะเป็นแถบเส้นทึบสีขาว หรือสีเหลือง ถ้าเห็นสัญลักษณ์นี้ก็แสดงว่าห้ามขับรถล้ำเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว
เส้นให้ทาง สัญลักษณ์นี้แสดงว่า ให้ผู้ขับขี่ขับรถให้ช้าลง หากเห็นว่าจะไม่ปลอดภัยต่อผู้อื่นในทางขวางหน้า ต้องหยุดรถก่อนถึงแนวทางเส้นให้ทาง จะมีลักษณะเป็นเส้นประสีขาวขวางแนวจราจร
แนะนำว่าก่อนสอบอย่าลืมอ่านเครื่องหมายบนพื้นทางเชียวล่ะ เพราะนั่นจะเป็นกฎหมายจราจรภาคบังคับ หมายความว่าหากเราพบเห็นก็จะต้องปฏิบัติตาม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน และถือว่ายังเป็นไฮไลท์สำคัญในแนวข้อสอบใบขับขี่ 2563 อีกด้วยนะ พลาดไม่ได้เชียวล่ะ !!
2. รู้วิธีการขับรถให้ปลอดภัย
- การขับรถขณะฝนตก ควรเปิดที่ปัดน้ำฝน พร้อมลดความเร็วของรถ และเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ห้ามเปิดไฟฉุกเฉินตลอดทาง
- การจับพวงมาลัย วิธีที่ถูกต้องสุด ก็คือ นิ้วมือทั้งห้า จับพวงมาลัยให้กระชับ สามารถหมุนได้คล่องตัว พยายามอย่าจับให้มือทั้งสองข้างพันกัน เพราะจะทำให้เราขับไม่ถนัด หรือเลี้ยวรถไม่ได้
- รถเกิดเสียหลัก เมื่อตอนฝนตกหนักถนนเปียกลื่น แนะนำให้เรา ตั้งสติให้มั่น จับพวงมาลัยให้ดี และประคองรถต่อไป อย่าหักพวงมาลัยแบบกระทันหัน
- เมื่อรถเสีย สิ่งสำคัญอันดับแรก เราต้องนำรถจอดเข้าข้างทาง พร้อมเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อให้รถคันอื่นรู้ว่ารถของเรากำลังเสีย จะได้ไม่มาชนท้ายรถเรา
- การขับผ่านทางแยก เราต้องทำตามสัญญาณไฟจราจร หรือกฎหมายอย่างเคร่งขัด ห้ามเปิดไฟฉุกเฉิน หรือเร่งความเร็วขณะผ่านทางเเยกเด็ดขาด
- การกลับรถ สามารถกลับรถได้ในระยะเกินกว่า 100 เมตร จากทางราบของเชิงสะพาน แล้วอย่าลืมเปิดไฟเลี้ยวก่อนกลับรถด้วยนะครับ
- การใช้เกียร์ต่ำ สาเหตุที่ควรใช้เกียร์ต่ำขณะลงเขา เพื่อหน่วงความเร็วของรถ ในทางลงลาดชัน เกียร์ต่ำจะทำให้รถมีแรงฉุดได้ดีกว่าและทำให้รถของคุณไม่ไหล จึงง่ายต่อการเลี้ยงเบรกและบังคับรถลงทางลาดชัน
- การคาดเข็มขัดนิรภัย จะต้องตรวจสอบการใช้งานของเข็มขัดนิรภัยก่อน ด้วยการ กระตุกดึงสายเข็มขัดอย่างเร็ว แล้วสายเข็มขัดต้องล็อค ให้แน่นสนิท เพื่อความปลอดภัยขณะขับรถ
- การขับรถชิดถนน กรณีนี้หาก ผู้ขับขี่ขับรถช้า ก็ควรขับชิดขอบด้านซ้ายของถนน แต่ถ้าผู้ขับขี่ขับรถเร็ว หรือต้องการช่องแซง ให้ขับชิดด้านขวาของถนน เลย
- รถเลี้ยวพร้อมกัน สำหรับการขับรถที่ถูกต้องและปลอดภัยนั้น ผู้ที่เลี้ยวซ้ายจะต้องหยุดให้ทางแก่รถที่เลี้ยวขวาก่อน เมื่อรถคันด้านขวาเลี้ยวพ้นแล้ว จึงสามารถเลี้ยวไปได้
- การใช้ความเร็ว เมื่อผู้ขับขี่อยู่บริเวณ นอกเขตกรุงเทพ เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. ส่วนในเขตกรุงเทพ เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาล ต้องใช้ความเร็ว ไม่เกิน 80 กม./ชม. ดังนั้น ไม่ควรขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
- การเปลี่ยนช่องจราจร จะเป็นกฎหมายจราจรทางบกกำหนดไว้ว่า หากเราต้องการเปลี่ยนช่องเดินรถ ควรดูกระจกมองข้าง แล้วเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เพื่อเปลี่ยนช่องทางเมื่อเห็นว่าปลอดภัย เท่านั้น
- การเปิดไฟเลี้ยว ตามหลักมารยาทการขับขี่ที่ถูกต้อง เราควรเปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งก่อนเปลี่ยนช่องทางเดินรถ ไม่น้อยกว่า 30 เมตรให้ก่อนที่จะเลี้ยว เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน
3. รู้จักการดูแลรถยนต์
- การเติมแบตเตอรี่ สำหรับวิธีการเติมที่ถูกต้องก็คือ ใช้น้ำกลั่น เพราะจะทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าภายในแบตเตอรี่ ส่วนการดูแลรักษาแบตเตอรี่ ก็คือ การหมั่นตรวจเช็คระดับของน้ำกลั่น และน้ำกลั่นที่ดีควรเป็นน้ำกลั่นบริสุทธิ์ ห้ามใช้น้ำกรดเติมเด็ดขาด และควรเติมน้ำกลั่นอยู่ในระหว่างขีดต่ำ-สูง ของแบตเตอรี่อีกด้วย
- การเติมถังพักหม้อน้ำ เมื่อเราจะเติมน้ำในถังพักหม้อน้ำ ไม่ควรเติมน้ำบาดาล เด็ดขาด และควรอยู่ระหว่างเกณฑ์สูง-ต่ำ ที่กำหนดไว้ข้างถังพักน้ำ เพราะต้องสำรองเนื้อที่ในการขยายตัวของน้ำเมื่อเกิดความร้อน ถือเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้ดีเลย
- การเช็คสภาพรถ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนมาไหน เราควรตรวจเช็ครถยนต์ก่อนเดินทางทุกครั้ง ได้แก่ ตรวจแรงดันลมยาง ระบบเบรค และน้ำมันหล่อลื่น รวมถึงควรเดินสำรวจรอบตัวรถทุกครั้ง ว่ามีสิ่งไหนผิดปกติจากเดิมหรือไม่
- เครื่องยนต์ร้อนสูง ถ้าเกิดว่าเข็มความร้อนขึ้นสูงผิดปกติ เราควรหยุดรถในที่ปลอดภัยแล้วปล่อยให้เครื่องเย็นลงก่อน ถึงแม้อาจจะใช้เวลานานหน่อยก็ควรรอดีกว่า หรือหนักมากจนเอาไม่อยู่ก็ควรนำรถเข้าไปให้ช่างตรวจเช็คสภาพทันที หรือสามารถอ่านวิธีแก้เครื่องยนต์ความร้อนผิดปกติได้ครับ
- การขับรถลุยน้ำ วิธีเอาตัวรอดขณะขับรถลุยน้ำก็คือ ควรเร่งเครื่องยนต์ให้มากกว่าปกติเล็กน้อย อย่าหยุดรถกลางน้ำ และควรขับรถตามหลังคันข้างหน้าในระยะห่างพอประมาณด้วยเช่นกัน ส่วนวิธีแก้ผ้าเบรกให้แห้ง เเนะนำให้เรา เหยียบเบรกเบาๆ แล้วปล่อยหลายๆครั้ง จะช่วยไล่ความชื้น พร้อมยืดอายุของการใช้งาน
4. กฎหมายรถทั่วไป
- อายุของใบขับรถชั่วคราว กรมการขนส่งทางบก ขยายเวลาให้มี อายุ 2 ปี เพื่อทำให้สะดวก ไม่ต้องเปลี่ยนใบขับขี่บ่อยขึ้น (โดยสามารถขอเปลี่ยนเป็นชนิดส่วนบุคคลได้ตั้งแต่ครบ 1 ปีขึ้นไป)
- การเสียค่าปรับ ตามกฎหมายกำหนดไว้ หากผู้ขับขี่กระทำความผิดจราจรทางบก และได้รับใบสั่ง ต้องติดต่อชำระค่าปรับ ภายในเวลา 7 วัน หากเกินกว่านั้นเราจะต้องเสียค่าปรับเพิ่ม หรือโดนยึดใบขับขี่
- การเปลี่ยนสีรถ เจ้าของรถต้องแจ้งเปลี่ยนสีต่อนายทะเบียน ภายในเวลา 7 วัน นับแต่วันที่เปลี่ยนสีนั้น หากเกินกำหนดจะต้องเสียค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท
- ใบขับขี่หาย / ย้ายทะเบียนรถ / การโอนรถ กรณีนี้ผู้ขับขี่จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียน ภายในเวลา 15 วัน ทันที
- ใบขับขี่หมดอายุ ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายจราจรทางบก และจะต้องเสีย ค่าปรับไม่เกิน 2,000 บาท หากรู้ตัวว่าใบขับขี่ใกล้จะหมดอายุ ก็ควรรีบไปต่ออายุให้เร็วที่สุด
- ระดับแอลกอฮอล์ ขณะผู้ขับรถดื่มสุราเมื่อวัดระดับปริมาณแอลกอฮอล์ ในลมหายใจ จะต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็น หากตรวจพบเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจะมีโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น ดื่มไม่ขับดีที่สุด
- การบรรทุกสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นรถกะบะหรือรถบรรทุก ผู้ขับขี่ทุกคนต้องบรรทุกสิ่งของยื่นพ้นตัวรถด้านหลังไม่เกิน 2.50 เมตร เพื่อความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน
5. มารยาทการขับรถทั่วไป
- การใช้แตรรถ สาเหตุหลักที่เราต้องส่งสัญญาณแตรนั้น เพื่อป้องกันอัตรายหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากรถ รวมถึงผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน แต่บางแห่งก็ไม่ควรใช้แตรรถ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และเขตพระราชฐาน เป็นต้น ส่วนบริเวณที่ใช้สัญญาณแตรรถได้ก็คือ สวนสาธารณะ
- บริเวณจอดรถ เราสามารถนำรถของเราจอดได้อย่างปลอดภัย ก็คือ ลานจอดรถในห้างสรรพสินค้า หรือบริเวณที่สำหรับไว้ให้จอดรถ ไม่ควรจอดกีดขวางผู้อื่นและไม่ฝ่าฝืนกฎจราจร โดยเด็ดขาด
- การเปิดไฟสูง เป็นมารยาทสำคัญของการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน เราไม่ควรเปิดไฟสูงในขณะที่มีรถสวนทาง และไม่เปิดไฟสูงขณะขับรถตามหลังคันอื่น หรือเพื่อไล่รถคันหน้า โดยจะใช้ไฟสูงได้เฉพาะกรณีตรวจสภาพถนนและริมถนนที่มืดมาก และไม่มีรถสวนทางมาเท่านั้น
- การเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับรถทุกคนควรคำนึงอันดับแรกเลยก็คือ การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ โดยปฐมพยาบาลอาการบาดเจ็บเบื้องต้น หรือรีบส่งตัวผู้บาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลอย่างด่วนที่สุด
- การให้ทางร่วม เมื่อเราพบเห็นคนกำลังเดินข้ามทางม้าลาย ก็ควรจะ หยุดให้คนข้ามถนนก่อน หรือเราต้องการจะเลี้ยวขวา ก็ควรจะหยุดรอรถทางตรงสวนทางมาก่อนจึงจะเลี้ยว ได้
สรุปว่า เราต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับข้อสอบใบขับขี่
จากข้างต้นที่เพนกวิน Frank กล่าวมา จะเป็นเพียงตัวอย่างแนวข้อสอบใบขับขี่ 2563 (อัปเดตมาจากข้อสอบใบขับขี่ 2562) เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าสู่สนามจริง หากต้องการทำความเข้าใจมากขึ้น ชาวแฟรงค์สามารถโหลด แอปข้อสอบใบขับขี่ (Android) และ แอปข้อสอบใบขับขี่ (IOS) พร้อมเฉลยผ่านระบบมือถือ ที่จะช่วยให้สอบใบขับขี่ได้ภายในครั้งเดียว หรือจะลองเข้ามาทำ ข้อสอบใบขับขี่ออนไลน์ ก็ได้เช่นกันนะ ทั้งนี้เราสามารถจองคิวข้อสอบใบขับขี่ออนไลน์ได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปจองเอง เพียงแค่คลิกลงทะเบียนเลือกวันที่และกรมขนส่งที่ต้องการเท่านั้น
และการสอบใบขับขี่ภาคทฤษฎีนั้น เราจะต้องทำผ่านระบบ E-exam (แบบอิเล็กทรอนิกส์) จะช่วยให้เราทำข้อสอบใบขับขี่ได้สะดวก และรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งยังมีระบบฟังเสียงภาษาไทยสำหรับผู้อ่านหนังสือไม่ออกอีกด้วยนะ โดยข้อสอบมีทั้งหมด 50 ข้อ แบบปรนัย ให้ตัวเลือก (ก-ง) และต้องทำให้ได้ 45 ข้อขึ้นไป ภายในระยะเวลา 60 นาที จึงถือว่าคุณสอบผ่าน หากสอบข้อเขียนผ่านแล้วก็จะสอบขับรถในขั้นตอนต่อไป และทุกขั้นตอนจะต้องดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น ผู้อื่นไม่สามารถดำเนินการแทนได้
Frank เชื่อว่าถ้าเราเตรียมความพร้อมมาอย่างดี ไม่ว่าข้อสอบใบขับขี่จะยากแค่ไหน ก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน พอหลังจากที่เราสอบใบขับขี่ผ่านแล้ว ก็อย่าลืมมองหา ประกันภัยรถยนต์ กับ ประกันมอเตอร์ไซต์ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของรถคุณด้วยนะ หรือสนใจอ่าน เคล็ดลับการเลือกประกันที่ใช่สำหรับคุณ เพิ่มเติมก็คลิกได้เลยนะ