หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ สารพัดหนี้ที่กู้จากแบงก์ หากวันนี้ยังผ่อนชำระต่อไม่ไหว เพราะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจช่วง COVID-19 ลองมาดูว่ามีทางไหนช่วยเราได้บ้าง ?
เพราะหลายธุรกิจต้องปิดตัวลง หรือลดจำนวนพนักงาน จากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลให้คนจำนวนมากต้องตกงานและขาดรายได้ กระทบต่อการผ่อนชำระหนี้สินที่กู้ยืมมาจากสถาบันการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ ที่เป็นปัญหาใหญ่ของหลายคน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะผ่อนต่อได้อย่างไร ดังนั้น ทางธนาคารแห่งประเทศไทย และสถาบันการเงิน จึงออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเราก็ได้รวบรวมทางออกในการแก้ไขปัญหาหนี้สินมาบอกต่อกันตรงนี้ เพื่อให้ทุกคนผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ตามมาอ่านกันว่ามีวิธีไหนบ้าง
การพักชำระหนี้ก็คือให้เราสามารถหยุดจ่ายหนี้ชั่วคราวได้ โดยอาจจะหยุดจ่ายเฉพาะเงินต้น ดอกเบี้ย หรือหยุดจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งออกมาตรการพักชำระหนี้มาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดยังได้ขยายมาตรการความช่วยเหลือเพิ่มเติมยาวไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ดังนั้น ให้ตรวจสอบดูว่า ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เรามีหนี้ค้างชำระอยู่นั้น มีนโยบายให้พักชำระหนี้ได้ถึงเมื่อไร และมีรูปแบบการพักชำระหนี้แบบไหนบ้าง เพื่อขอใช้สิทธิ์นั้นภายในเวลาที่แต่ละธนาคารกำหนด หรือตรวจสอบได้ที่นี่
เช็กเลย ! มาตรการพักชำระหนี้ ระยะที่ 2 ยังจ่ายหนี้ไม่ไหว แบงก์ไหนช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ ต้องพิจารณาให้ดีด้วยว่า ควรจะเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ต่อดีหรือไม่ เพราะช่วงเวลาที่เราหยุดพักชำระหนี้ ก็ยังคงคำนวณดอกเบี้ยตามปกติ ซึ่งจะทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ดังตัวอย่างตามภาพนี้
ดังนั้น ถ้ายังพอจ่ายไหว แนะนำให้จ่ายเต็มจำนวนจะได้ไม่มีหนี้เพิ่ม แต่ถ้าจ่ายไม่ไหวจริง ๆ ควรเลือกพักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยไปก่อน เพราะหากไม่จ่ายทั้งต้นทั้งดอกเลย หนี้จะยิ่งทบไปเรื่อย ๆ สบายตอนนี้ แต่ลำบากทีหลัง
- ขอพักชำระหนี้ต่อเหมาะกับใคร : คนที่มีสินเชื่อประเภทต่าง ๆ กับสถาบันทางการเงิน เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และไม่มีเงินเพียงพอที่จะชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ย
- ระยะเวลาโครงการ : สมัครเข้าร่วมโครงการภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563
2. เปลี่ยนเป็นสินเชื่อผ่อนรายเดือน
สำหรับคนที่มีหนี้บัตรเครดิต และยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่จ่ายขั้นต่ำมาทุกเดือน จนเริ่มจะจ่ายไม่ไหวแล้ว สามารถเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตให้กลายเป็นสินเชื่อผ่อนรายเดือนได้ เพื่อจะได้ผ่อนจ่ายเท่ากันทุกเดือน ซึ่งการเปลี่ยนเป็นสินเชื่อผ่อนรายเดือน มีข้อดีคือ
- คิดดอกเบี้ยต่ำกว่า
- มียอดผ่อนต่อเดือนน้อยกว่า
- สามารถใช้วงเงินที่เหลือในบัตรเครดิตได้
- ไม่เสียประวัติเครดิตบูโร
- เปลี่ยนเป็นสินเชื่อผ่อนรายเดือน เหมาะกับใคร : คนที่มีหนี้บัตรเครดิต และยังไม่เป็น NPL
- ระยะเวลาโครงการ : หากสนใจให้ติดต่อธนาคารที่เรามีบัตรเครดิตอยู่ได้เลย จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
วิธีการนี้คือการรวมสินเชื่อทุกประเภท โดยใช้บ้านเป็นหลักประกัน โดยที่หนี้บ้านนั้นต้องไม่เป็น NPL หรือค้างชำระไม่เกิน 90 วัน มารวมกันกับหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ ทั้งที่เป็น NPL และไม่เป็น NPL ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ ต้องเป็นผู้ให้บริการทางการเงินเดียวกัน
ข้อดีคือ จะช่วยลดดอกเบี้ยสินเชื่ออื่น ๆ ให้เหลือแค่อัตราดอกเบี้ย MRR ของสินเชื่อบ้าน แถมยังสามารถขยายเวลาชำระหนี้ได้ด้วย
ยกตัวอย่าง ถ้าเรามีหนี้บ้านค้างกับธนาคาร A จำนวน 2 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 3% ต่อปี และยังมีหนี้ค้างบัตรเครดิตกับธนาคาร A อีก 1 แสนบาท เป็น NPL แล้ว และถูกคิดดอกเบี้ย 18% ต่อปี ขณะที่ MRR ของธนาคารนี้อยู่ที่ 6% ต่อปี
เมื่อรวมหนี้ จะมีหนี้ทั้งหมด 2.1 ล้านบาท แต่ดอกเบี้ยบ้านจะเสียในอัตรา 3% เหมือนเดิม ส่วนหนี้บัตรเครดิต จะเสียดอกเบี้ยในอัตรา 6% คือไม่เกิน MRR นั่นหมายความว่าดอกเบี้ยจะลดลง เราสามารถผ่อนหนี้บัตรได้นานขึ้น และค่างวดจะลดลงด้วย
- รวมหนี้เป็นก้อนเดียว เหมาะกับใคร : คนที่มีสินเชื่อบ้าน ร่วมกับสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่กู้จากสถาบันการเงินเดียวกัน
- ระยะเวลาโครงการ : ติดต่อธนาคารเพื่อขอรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2563 - 31 ธันวาคม 2564
4. ขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร
กรณีที่เราได้รับผลกระทบหนักจริง ๆ ไม่สามารถจ่ายค่างวดได้เท่าเดิม และใกล้จะเป็นหนี้ NPL เข้าไปทุกที ให้รีบเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เสียประวัติข้อมูลเครดิต ซึ่งธนาคารอาจพิจารณามาตรการช่วยเหลือที่ต่างกันไปในแต่ละคน โดยมีหลายทางเลือก เช่น
- ยืดเวลาผ่อนชำระหนี้ออกไป เพื่อให้ค่างวดลดลง
- เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเสริมสภาพคล่อง และสำรองไว้ยามฉุกเฉิน
- เปลี่ยนประเภทหนี้จากสินเชื่อดอกเบี้ยสูง เป็นสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า
- ลดอัตราดอกเบี้ยที่เคยตกลง หรือกำหนดไว้ในสัญญา เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
- ปิด/ชำระหนี้เร็วขึ้น
- ยก หรือผ่อนปรนดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เพื่อให้ค่างวดที่ผ่อนเข้ามาสามารถตัดเงินต้นได้มากขึ้น
- รีไฟแนนซ์ปิดสินเชื่อจากที่เดิม เพื่อใช้สินเชื่อใหม่ที่มีเงื่อนไขดีกว่า
- ขอปรับโครงสร้างหนี้ เหมาะกับใคร : คนที่มีสินเชื่อประเภทต่าง ๆ กับสถาบันทางการเงิน เช่น สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และไม่สามารถผ่อนชำระไหว แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการอื่น ๆ แล้วก็ตาม
- ระยะเวลาโครงการ : ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง
4 วิธีที่กล่าวมา เป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่ถ้าคุณมีหนี้เสียมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 และมียอดหนี้เงินต้นค้างชำระรวมไม่เกิน 2 ล้านบาท ให้ติดต่อคลินิกแก้หนี้ได้เลย เพื่อรวมหนี้ของสถาบันการเงินต่าง ๆ ไว้ที่เดียว โดยเราจะผ่อนจ่ายในอัตราดอกเบี้ยเพียง 4-7% ต่อปีเท่านั้น นานสูงสุด 10 ปี ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยไปได้เยอะมาก
สำหรับสินเชื่อที่จะเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ ต้องมีลักษณะดังนี้
- ต้องเป็นหนี้ส่วนบุคคล เช่น หนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน กับธนาคาร, non-bank และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ร่วมโครงการ
- ต้องเป็นหนี้ที่ไม่ได้ชำระหรือไม่ได้ชำระขั้นต่ำเป็นระยะเวลาติดต่อกันมากกว่า 91-120 วัน และเป็นหนี้เสียก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
- มีหนี้เสียกับเจ้าหนี้เพียง 1 ราย หรือเจ้าหนี้หลายรายก็เข้าร่วมโครงการได้
- มียอดหนี้เงินต้นค้างชำระรวมไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยสามารถนำยอดหนี้บัตรเครดิตเฉพาะบัตรที่เป็นหนี้เสียทุกใบมาเข้าร่วมโครงการได้
- หากผ่อนขั้นต่ำอยู่จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้
- หนี้นอกระบบจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้
- คลินิกแก้หนี้ เหมาะกับใคร : คนที่มีสินเชื่อบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่กลายเป็นหนี้เสียแล้ว
- ระยะเวลาโครงการ : ไม่มีกำหนดสิ้นสุด
ทั้งนี้ หากใครติดต่อสถาบันการเงิน แต่ข้อเสนอที่ได้รับยังไม่สามารถที่จะจ่ายได้ ให้แจ้งความประสงค์ผ่านทางด่วนแก้หนี้ (คลิกที่นี่) จากนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นตัวกลางประสานให้ โดยจะส่งข้อมูลไปยังผู้ให้บริการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป